Categories
Uncategorized

รู้จัก Gemini – AI อัจฉริยะจาก Google ที่เหนือกว่า ChatGPT จริงไหม?

ถ้าพูดถึง AI อัจฉริยะในตอนนี้ หลายคนคงคุ้นเคยกับ ChatGPT ของ OpenAI ที่สร้างกระแสไปทั่วโลก แต่ล่าสุด Google ก็ส่ง เจมิไนน์ ai ลงสนามมาแข่งแบบจัดเต็ม ซึ่งไม่ใช่แค่ AI แชตบอทธรรมดา แต่เป็น Multimodal AI ที่สามารถเข้าใจทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และโค้ดได้พร้อมกัน เทียบกับ ChatGPT ที่เน้นการประมวลผลข้อความเป็นหลัก Gemini ดูเหมือนจะเป็นก้าวสำคัญของ Google ในการสร้าง AI ที่ฉลาดและเข้าใจโลกแบบรอบด้านมากขึ้น

ความพีคของ Gemini อยู่ที่การเชื่อมต่อกับข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ทำให้ตอบคำถามได้แม่นยำกว่า แถมยังเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วจากข้อมูลสดใหม่ ในขณะที่ ChatGPT ใช้ข้อมูลที่ตัดรอบเป็นเวอร์ชันๆ ไป ข้อดีอีกอย่างของ gemini ภาษาไทย คือสามารถเข้าใจหลายภาษาได้อย่างลึกซึ้ง และตีความข้อมูลจากหลายรูปแบบได้ดีกว่า 

ซึ่งเหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง อย่างการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ หรือการช่วยเขียนโค้ด แต่ถึงจะดูเหนือกว่าในหลายจุด Gemini ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เช่น การเปิดให้ใช้งานในบางประเทศ หรือบางครั้งการให้คำตอบอาจจะยังไม่เป็นธรรมชาติเท่า ChatGPT ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนำไปใช้ในด้านไหนมากกว่ากัน

เจมิไนน์ ai

google gemini คืออะไร ?

Gemini คือ AI อัจฉริยะจาก Google ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นมากกว่าบอทตอบคำถามทั่วไป มันถูกออกแบบให้เป็น Multimodal AI หรือก็คือสามารถเข้าใจและประมวลผลข้อมูลจากหลายรูปแบบได้พร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เสียง หรือแม้แต่โค้ด ต่างจาก AI รุ่นก่อนๆ ที่เน้นแค่ข้อความเป็นหลัก จุดเด่นของ Gemini คือการเชื่อมต่อกับข้อมูลจาก Google Search 

ทำให้มันสามารถให้คำตอบที่อัปเดตและแม่นยำกว่า AI ที่ใช้ข้อมูลแบบปิด เช่น ChatGPT นอกจากนี้ยังมีความสามารถขั้นสูงในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการช่วยสร้างคอนเทนต์ แต่ด้วยความที่เป็น AI ใหม่

ระบบยังอยู่ในช่วงพัฒนา และอาจมีจุดที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม Gemini ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Google ในการแข่งขัน AI และอาจเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและใช้เทคโนโลยีในอนาคตไปเลย

เทคโนโลยีเบื้องหลัง Gemini: AI อัจฉริยะระดับโลก

เบื้องหลัง Gemini คือเทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้าของ Google ซึ่งออกแบบให้เป็น Multimodal AI ตั้งแต่ต้น หมายความว่ามันไม่ได้แค่เข้าใจข้อความเหมือน ChatGPT แต่ยังสามารถวิเคราะห์ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ดได้ในตัวเดียวกัน จุดแข็งของมันคือการใช้ Large Language Model (LLM) รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาขึ้นจาก Google DeepMind และทำงานบน Tensor Processing Units (TPUs) รุ่นใหม่ 

ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นและมีความแม่นยำสูงขึ้น ระบบ Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังยังช่วยให้ Gemini เรียนรู้จากข้อมูลที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีขึ้น การที่มันรองรับข้อมูลหลายรูปแบบพร้อมกัน ทำให้ Gemini ไม่ได้เป็นแค่แชตบอท แต่เป็น AI ที่เข้าใจโลกแบบรอบด้านและฉลาดขึ้นกว่า AI รุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจน

Multimodal AI

หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของ Gemini คือมันเป็น Multimodal AI หรือก็คือ AI ที่สามารถประมวลผลและเข้าใจข้อมูลจากหลายรูปแบบพร้อมกัน ไม่ใช่แค่ข้อความเหมือน ChatGPT แต่ยังรองรับ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด ได้ด้วย ซึ่งทำให้มันสามารถคิด วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลได้ครอบคลุมกว่าเดิม 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอัปโหลดภาพเข้าไปแล้วถามว่าในภาพนี้คืออะไร Gemini จะไม่ใช่แค่บอกว่ามีอะไรในภาพ แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้คำตอบที่ละเอียดขึ้น เช่น แนะนำว่าภาพนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร หรืออธิบายบริบทของมันได้แบบลึกซึ้งขึ้น

Gemini ใช้ LLM เวอร์ชันไหน? 

Gemini ขับเคลื่อนด้วย Large Language Model (LLM) รุ่นล่าสุดของ Google ซึ่งแตกต่างจาก GPT-4 ของ OpenAI จุดสำคัญคือ Google ออกแบบ Gemini ให้เป็น native multimodal ตั้งแต่แรก นั่นหมายความว่ามันไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อเข้าใจข้อความก่อนแล้วค่อยเพิ่มการรองรับข้อมูลรูปแบบอื่นๆ ภายหลัง 

แต่มันถูกสร้างมาเพื่อจัดการข้อมูลหลากหลายประเภทพร้อมกันตั้งแต่ต้น ซึ่งช่วยให้การทำงานของมันลื่นไหลและเชื่อมโยงข้อมูลได้ดีขึ้น และล่าสุด Google ได้พัฒนา เจมิไน 1.5 ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม ทั้งในด้านความเข้าใจภาษาธรรมชาติ ความสามารถในการจดจำข้อมูลระยะยาว และการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้น

ความสามารถด้าน Machine Learning

เบื้องหลังของ Gemini มีการใช้ Machine Learning ขั้นสูง ที่พัฒนามาจากโครงสร้างของ Google DeepMind ซึ่งช่วยให้มันเรียนรู้และปรับตัวได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับ AI อื่นๆ ความสามารถเด่นๆ ได้แก่ การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง (Continuous Learning) ที่ช่วยให้ Gemini อัปเดตข้อมูลจากแหล่งใหม่ๆ ได้ดีขึ้น

และ Reinforcement Learning ที่ช่วยให้มันสามารถพัฒนาการตอบคำถามให้แม่นยำขึ้นจากฟีดแบ็กของผู้ใช้ นอกจากนี้ การที่ Gemini ใช้โครงสร้างของ Tensor Processing Units (TPUs) รุ่นใหม่ ทำให้มันประมวลผลเร็วกว่า AI ทั่วไป และสามารถจัดการข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

gemini ภาษาไทย

Gemini vs ChatGPT: ศึกปัญญาประดิษฐ์ ใครเหนือกว่า?

การแข่งขันระหว่าง Gemini จาก Google และ ChatGPT จาก OpenAI กลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนของวงการ AI ทั้งสองเป็น Large Language Model (LLM) ที่ถูกพัฒนาให้เป็น AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ แต่มีความแตกต่างในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความแม่นยำในการตอบคำถาม, ความสามารถด้านการสร้างเนื้อหา, การเข้าใจภาษาธรรมชาติ และการรองรับหลายภาษา มาดูกันว่าใครเหนือกว่าในแต่ละด้าน

ความแม่นยำในการตอบคำถาม

gemini ai ใช้ยังไง หนึ่งในจุดแข็งของ Gemini คือการเชื่อมต่อกับ Google Search ทำให้สามารถดึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมาวิเคราะห์และให้คำตอบได้แม่นยำกว่า ขณะที่ ChatGPT ใช้ข้อมูลที่ถูกฝึกมาในเวอร์ชันก่อนหน้า

ทำให้บางครั้งคำตอบอาจล้าสมัยหรือไม่อัปเดต ในแง่ของตรรกะและความถูกต้อง Gemini มีแนวโน้มที่จะให้ข้อมูลที่อ้างอิงแหล่งที่มาชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเมื่อถามเกี่ยวกับข่าวสารหรือหัวข้อที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

ประสิทธิภาพด้านการสร้างเนื้อหา

ถ้าเน้นเรื่องการสร้างคอนเทนต์ ChatGPT ยังได้เปรียบเล็กน้อย เพราะสามารถเขียนบทความหรือเรื่องราวได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความลื่นไหลสูง Gemini แม้ว่าจะพัฒนาขึ้นมามาก แต่บางครั้งยังมีปัญหาในการคงความต่อเนื่องของเนื้อหา อย่างไรก็ตาม Gemini มีความสามารถพิเศษในการ รวมข้อมูลจากหลายแหล่งและสรุปสาระสำคัญได้ดี ซึ่งทำให้มันโดดเด่นในการวิเคราะห์และเขียนข้อมูลที่ต้องอิงจากแหล่งข่าวจริง

การเข้าใจภาษาธรรมชาติ

ChatGPT ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติและตอบโต้ได้เหมือนคุยกับมนุษย์ ส่วน Gemini ได้รับการออกแบบให้เป็น Multimodal AI ที่เข้าใจข้อมูลจากหลายรูปแบบ ทำให้มันสามารถตีความและตอบคำถามที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น แม้ว่า ChatGPT จะให้คำตอบที่เป็นมิตรและอ่านง่ายกว่า แต่ Gemini มักจะมีความแม่นยำและตรงประเด็นมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

การรองรับหลายภาษา

ในแง่ของการใช้ภาษาต่างๆ ทั้งสองมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่ Gemini ได้เปรียบตรงที่เป็นของ Google ซึ่งมีฐานข้อมูลภาษาทั่วโลกที่กว้างกว่า ทำให้รองรับภาษาได้หลากหลายและเข้าใจบริบทได้ดีขึ้น โดยเฉพาะภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ขณะที่ ChatGPT อาจให้คำตอบที่ดูเป็นธรรมชาติในภาษาอังกฤษมากกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบในระดับสากล Gemini มีแนวโน้มที่จะรองรับภาษาต่างๆ ได้ครอบคลุมกว่า

จุดเด่นของ Gemini ที่ ChatGPT อาจเทียบไม่ได้

google gemini ใช้ยังไง หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ Gemini เหนือกว่า ChatGPT คือความสามารถในการเป็น Multimodal AI ตั้งแต่ต้น ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้แค่เข้าใจข้อความ แต่ยังสามารถวิเคราะห์ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ดได้ในตัวเดียวกัน แบบที่ ChatGPT ยังทำได้จำกัด อีกจุดแข็งที่สำคัญคือ Gemini เชื่อมต่อกับ Google Search ได้โดยตรง ทำให้มันให้ข้อมูลที่อัปเดตและแม่นยำกว่า 

gemini ใช้ยังไง ในเรื่องที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น ข่าว เทคโนโลยี หรือเทรนด์ล่าสุด ขณะที่ ChatGPT ใช้ข้อมูลที่ตัดรอบเป็นเวอร์ชันๆ ไป และอาจไม่ได้อัปเดตแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ Gemini ยังได้รับการออกแบบให้รองรับภาษาหลากหลายได้ดีขึ้น เข้าใจบริบทของภาษาต่างๆ ได้แม่นยำขึ้น และประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นจากการใช้ Tensor Processing Units (TPUs) รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยให้มันทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูงกว่า AI ทั่วไป

gemini เวอร์ชั่นล่าสุด

สรุป Gemini ดีกว่า ChatGPT จริงไหม?

ถ้าถามว่า Gemini ดีกว่า ChatGPT จริงไหม คำตอบขึ้นอยู่กับว่าเอาไปใช้ทำอะไร ถ้าต้องการ AI ที่ให้ข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อกับ Google Search ได้ และรองรับการวิเคราะห์ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ดในตัวเดียว gemini เวอร์ชั่นล่าสุด ชนะขาด แต่ถ้าต้องการ AI ที่เขียนเนื้อหาได้ลื่นไหล คุยโต้ตอบได้เป็นธรรมชาติ และมีสไตล์การตอบที่เป็นมิตร ChatGPT ยังได้เปรียบ ในบางจุด 

ทั้งสองตัวมีจุดแข็งที่ต่างกัน และยังพัฒนาไปเรื่อยๆ ดังนั้น การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับว่าต้องการ AI แบบไหนมากกว่า หากต้องการข้อมูลที่แม่นยำและวิเคราะห์ได้ลึก Gemini เหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการบทสนทนาหรือคอนเทนต์ที่อ่านง่าย ChatGPT ก็ตอบโจทย์มากกว่า